ในปัจจุบัน
ยุคที่เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
การชมหนังหรือซีรีส์ซักเรื่องไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องไปซื้อแผ่น DVD ให้เสียเวลาเปล่า เนื่องจากได้มีการพัฒนาเป็น TV
Streaming ที่เป็น Application สำหรับดูภาพยนตร์และซีรีส์แบบถูกลิขสิทธิ์ที่เสียค่าสมาชิกรายเดือนในราคาที่ค่อนข้างถูก
ก็สามารรับชมความบันเทิงดังกล่าวได้ทุกที่ผ่าน Smart TV, Smart phone,
Computer และ Tablet และรับชมได้ไม่อั้นและมีมากเสียจนเลือกไม่ถูกทั้ง
NETFLIX, IFLIX, HOOQ, HULU หรือแม้กระทั่ง HBO แต่จะมีใครรู้หรือไม่ ว่าเหล่าผู้ให้บริการ TV Streaming เหล่านี้จะรวยอู้ฟู่ มีกำไรมากหรือเปล่า?
ในบทความนี้เราเลยมาลองขุดคุ้ยบริษัทเหล่านี้กันดู
ซึ่งหลักๆบทความนี้จะมุ่งไปที่ตัว NETFLIX ครับ
Say HI NETFLIX
NETFLIX บริษัทสหรัฐฯก่อตั้งโดยนาย
Reed Hastings และ Marc Randolph โดยจัดตั้งขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม 1997 ที่ Scotts Valley,
California ปัจจุบันมีสมาชิกกระจายอยู่กว่า 190
ประเทศและมีจำนวนกว่า 117 ล้านสมาชิก ให้บริการ มีธุรกิจหลักทั้งหมด 3 ธุรกิจคือ 1.ธุรกิจ
Streaming ในประเทศ (Domestic Streaming) ให้บริการ Streaming ใน สหรัฐฯ 2. ธุรกิจ Streaming
ในต่างประเทศ ที่ให้บริการ Streaming นอกสหรัฐฯ
และ 3. ธุรกิจให้บริการ DVD ในสหรัฐฯ ที่ให้บริการเช่าแผ่น DVD
นสหรัฐฯพร้อมบริการ Delivery ทั้ง 3
ธุรกิจหลักจะมีรายได้เป็นค่าสมาชิกรายเดือน ซึ่งในปี 2017
บริษัทมีรายได้รวมทั้งหมด 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์ จากปี 2016 ที่มีรายได้ 8.83
พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 32.4%
โดยสัดส่วนรายได้จาก Domestic Streaming : International
Streaming : Domestic DVD คิดเป็น 53%:44%:4% ซึ่งทั้ง
3 ธุรกิจหลักนี้มีเพียง Domestic DVD ที่รายได้ถดถอยลง
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยากจากการที่ผู้ชมหันมาชม TV Streaming มากขึ้น จากความสะดวกที่มีมากกว่า เมื่อเทียบรายได้แล้ว ก็ต้องถือว่า NETFLIX
มีจำนวนสมาชิกที่มากเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้ง IFLIX,
HOOQ หรือ HULU ที่มีมากกว่าก็มีเพียง HBO (ไม่นับรวม TV Streaming ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทยนะครับ)
สู่สมรภูมิ TV Streaming ที่รุนแรง
แม้จะเป็นผู้ให้บริการ TV Streaming อันดับต้นๆซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบการดูหนังและซีรีส์
แต่ในรายงานประจำปี NETFLIX กล่าวถึงภาวะการแข่งขันที่บอกว่าเป็นไปอย่างรุนแรง
เพราะมีคู่แข่งแทบทุกทิศ ทั้งตัวผู้ให้บริการ TV Streaming เจ้าอื่นๆ,
รายการที่ฉายทาง Internet รวมถึง TV Content แบบเก่า ที่เร่งปรับตัวเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บวกกับการที่บริการ
TV Streaming เป็นธุรกิจที่มีโอกาสและความเสี่ยงมากมายที่จะสูญเสียสมาชิกไป
ทั้งเรื่องของราคา, คุณภาพ Content, การขาดการบริการที่ดี
และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงต้นทุนการเปลี่ยนหรือโยกย้ายก็ต่ำมาก
เพียงแค่จิ้มไม่กี่ที ก็ยกเลิกการเป็นสมาชิกแล้ว นอกจากนี้
ยังอาจต้องสู้รบปรบมือกับเหล่า Supplier อย่างเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และซีรีส์ต่างๆ
ที่มีความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายในราคาที่แพง รวมถึงเป็นสินค้าที่มีลักษณะเป็นแบบ Homogenous
คือ เจ้าอื่นก็ซื้อได้ (ยกตัวอย่างเช่น หนังบางเรื่องก็มีทั้งใน NETFLIX
และ IFLIX เป็นต้น) แสดงถึงอำนาจต่อรองของ Supplier
ที่มีมากทีเดียว เรียกได้ว่า อุตสาหกรรมนี้
อำนาจต่อรองของบริษัทต่อลูกค้าและ Supplier แทบไม่มี
ยิ่งไม่มี
ยิ่งต้องลงเพิ่ม
จากทั้งความรุนแรงในการแข่งขันและการเผชิญกับ
Bargaining Power ของSupplier ที่ค้อนข้างสูงทำให้
NETFLIX เองก็ต้องสรรหาสิ่งดึงดูดใจเพื่อรักษาสมาชิกเก่าและดึงดูดสมาชิกใหม่
โดยกลยุทธ์หลักๆคือการจับมือกับกลุ่มทุนเพื่อสร้างหนังและซีรีส์ที่ตนเองสามารถฉายใน
Platform ของตนได้แต่เพียงผู้เดียว หรือที่เรียกว่า NETFLIX
Original Series ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรจากการที่ดึงดูดสมาชิกใหม่ๆที่เกิดจากการบอกต่อจากสมาชิกเก่าๆ
ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่แปลกใหม่ แต่ก็นำมาซึ่งผลกระทบอย่างหนัก
จากกระแสเงินสดที่ไหลออกเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น จากการที่สมาชิก NETFLIX
สามารถยกเลิกสมาชิกได้ง่าย ทำให้ NETFLIX ต้องรักษาระดับการสมัครสมาชิกใหม่ให้สูงกว่าอัตราการยกเลิกสมาชิก
มิฉะนั้นแล้ว จะส่งผลลบอย่างหนักต่อผลประกอบการนั่นเอง
และยิ่งสมาชิกสมัครใหม่น้อยลง การพยายามลดรายจ่ายโดยการชะลอการออก Content ใหม่ๆ เป็นทางเลือกที่ไม่ได้น่ารักมากนัก
สมาชิกที่น้อยลงยิ่งเป็นการบังคับให้ NETFLIX ต้องลงทุนสร้าง
Content ใหม่ๆเพิ่มเติมเพื่อเร่งการสมัครสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นต่างหาก
กำไรดี เงินสดอาการหนัก
เมื่อลองหันมาดูผลประกอบการของ
NETFLIX โดย
ปี 2015 กำไรสุทธิ
122.6 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน -749.4 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดอิสระ -920.5 ล้านดอลลาร์
ปี 2016 กำไรสุทธิ 186.7 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
-1,474 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดอิสระ -1,659.8 ล้านดอลลาร์
ปี 2017 กำไรสุทธิ 558.9 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
-1,785.9 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดอิสระ -2,019.7 ล้านดอลลาร์
จะเห็นว่า
แม้กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น แต่กระแสเงินสดที่ลดลงต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นผลมาจากแผนของ NETFLIX ที่ต้องลงทุนสร้าง Content ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อดึงดูดสมาชิก
จะหลุดพ้นเมื่อไหร่?
คำถามสำคัญของธุรกิจก็คือ
เมื่อไหร่วงจรดังกล่าวจะสิ้นสุด? เบื้องต้นก็ตอบได้แต่เพียงว่า
NETFLIX จะต้องพยายามเพิ่มจำนวนสมาชิกให้เพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่งสามารถใช้เงินจากสมาชิกมาหมุนเวียนสร้าง
Content ใหม่ๆทดแทนแหล่งเงินกู้นั่นเอง ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่า
ระดับสมาชิกต้องเป็นเท่าไหร่ จึงจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เสียที
Source
https://www.cnet.com/news/youtube-tv-vs-sling-tv-vs-directv-now-vs-playstation-vue-channel-lineups-compared/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น