P/E สูง VS P/E ต่ำ: หุ้นไหนดีกว่ากัน

Image may contain: text

     สัดส่วน P/E เป็นสัดส่วนที่ถูกพูดถึงค่อนข้างบ่อย เวลาลงทุนในหุ้นสามัญ กล่าวโดยสังเขปก็คือ อัตราส่วน P/E หาได้จากการเอา ราคา (Price) ตั้งแล้วหารด้วย กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings per Share: E) ซึ่งหากใช้ค่า E เฉลี่ยย้อนหลังจะเรียกว่า Trailing P/E แต่หากใช้ค่า E ที่คาดการณ์ของปีหน้า จะเรียกว่า Forward P/E หากค่า P/E สูง แสดงถึงราคาของหุ้นสูงเมื่อเทียบกับกำไรที่บริษัทสร้างได้ หรือพูดสั้นๆก็คือหุ้นแพง หากมีค่าต่ำ แสดงว่าหุ้นถูก


     และเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอดว่า หุ้น P/E สูงหรือ P/E ต่ำ หุ้นตัวใดน่าลงทุนมากกว่ากัน นักลงทุนอย่างจอห์น เนฟฟ์ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการลงทุนในหุ้น P/E ต่ำ รวมถึงหนังสือหุ้นอย่าง The Essential P/E โดย Keith Anderson (ซึ่งมีแปลไทยแล้วครับ) ได้แสดงให้เห็นว่า หุ้น P/E ต่ำ หรือที่เรียกว่าหุ้นคุณค่า ให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นที่ P/E สูงหรือหุ้นเติบโต แต่หนังสือ How to make money in stock ได้แนะนำว่า สามารถลงทุนในหุ้น P/E สูงได้ ตราบใดที่หุ้นตัวนั้นยัง”สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ” ซึ่งสำหรับผมที่อ่านทั้ง 2 เล่ม ก็ต้องมีงงกันบ้าง ว่าตกลงจะเอายังไงกันแน่


     เอาเข้าจริง หลักการทั้ง 2 ก็ไม่ได้มีหลักการใดที่ถูกทั้งหมดและผิดโดยสิ้นเชิงครับ การลงทุนในหุ้น P/E ต่ำนั้นทำได้ แต่ควรพิจารณาตัวแปรอื่นๆประกอบ ไปด้วย เช่น อัตราส่วนทางการเงิน ผู้บริหาร โครงสร้างบริษัท หรืออาจรวมถึง Catalyst ต่างๆที่จะมากระตุ้นในอนาคต เพราะหุ้นที่ P/E ต่ำถือว่าเป็นหุ้นที่ราคาถูก ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะเป็นตัวที่บอกว่า หุ้น P/E ต่ำเหล่านี้ ถูกเพราะยังไม่มีคนเห็นหรือถูกเพราะมันควรถูก การเข้าไปซื้อเป็นคนแรกๆ ก็จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่มาก


     แต่หากหุ้นเหล่านั้นยังไม่มีคนให้ความสนใจ หรือขาดตัวกระตุ้น (Catalyst) ก็อาจทำให้หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นถูกตลอดกาลนั่นเอง


     ส่วนหุ้นที่ P/E สูง หรือที่เรียกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stock) นั้น ถือว่าเป็นหุ้นแพง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างเห็นศักยภาพดังกล่าวว่าจะสามารถเติบโตได้ในอนาคต จึงยอมซื้อในราคาที่แพงเพื่อรอรับการเติบโตในอนาคต ดังนั้น จุดสำคัญก็คือ การส่งสัญญาณเติบโตในอนาคต ซึ่งหากหุ้นเหล่านั้นยังสามารถสร้างการเติบโตได้เรื่อยๆ รวมถึงภาวะตลาดที่หากเป็นช่วงที่ภาวะตลาดยังอยู่ในช่วงขาขึ้น หุ้น P/E สูงก็ถือเป็นทางเลือกทุนที่น่าสนใจครับ


     แต่จุดที่ต้องระวังก็คือ หากหุ้นไม่สามารถตอบแทนความคาดหวังของนักลงทุนได้หรือหากตลาดเกิดภาวะวิกฤต นั่นคือจุดที่นักลงทุนต้องตัดใจครับ


     ในตลาดหุ้นไม่มีสูตรสำเร็จครับ ทุกๆหลักการมีประโยชน์ ขอให้เลือกวิธีที่เข้ากับตัวเราครับ

#NoWizInvestor

ที่มารูปภาพ
https://www.youtube.com/watch?v=jbBcKyvOzV0

ความคิดเห็น