
ดูท่า Trade War จะเข้มข้นขึ้นอีกครั้บ
หลังจากที่เมื่อเช้านี้ (18 ก.ย. 61)สหรัฐฯประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10%
ซึ่งมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์พร้อมยังขู่อีกว่า
หากจีนมีการตอบโต้มาตรการดังกล่าว
จะนำประเด็นการขึ้นภาษีนำเข้าอีกชุดเข้าทำประชาพิจารณ์ ทางจีนเองก็ไม่อยู่เฉย
มีข่าวจากฝั่งจีนแล้วว่าจะต้องมีการตอบโต้มาตรการดังกล่าว
ซึ่งถือเป็นการสุมไฟให้ความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
ส่วนมาตรการที่จีนจะงัดมาตรการอะไรออกมา คงต้องติดตามกันต่อไป
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือการที่ยักษ์ใหญ่ 2 ตัวเปิดเวทีฟาดฟันกัน
ย่อมต้องมีการส่งผลกระทบกันเป็นวงกว้าง
เหยื่อของผลกระทบนี้ก็หนีไม่พ้นประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging
Market) ผ่านการอ่อนค่าของค่าเงิน
หลังกระแสเงินทุนไหลเข้าไปหาตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่าเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯมีการฟื้นตัวขึ้นมาหลังได้รับผลกระทบจากวิกฤตซับไพร์มเมื่อสิบปีก่อน
ทำให้หลายธนาคารกลางในภูมิภาคสำคัญต้องเริ่มทำการปรับนโยบายการเงินให้กลับมาเป็นภาวะปกติทั้งการยุติการอัดฉีดเงินพร้อมทั้งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เมื่ออัตราผลตอบแทนน่าดึงดูดมากขึ้นพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจที่สดใส ทำให้กระแสเงินทุนที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่ไหลกลับมาตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว
ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
ตามหลักการเงินระหว่างประเทศแล้ว
หากค่าเงินมีการอ่อนค่าลงจะทำให้ประเทศนั้นส่งออกได้มากขึ้น
แต่หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯพร้อมนโยบาย American First ซึ่งการลดขนาดการขาดดุลการค้ากับประเทศอื่นๆ
ก็เป็น 1 ในนโยบายดังกล่าว
และหลายประเทศที่เกินดุลการค้าส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา
มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯก็ทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถใช้การอ่อนค่าของเงินสกุลเงินเพื่อเพิ่มการส่งออกได้
บวกกับปัญหาทางเศรษฐกิจภายใน ยิ่งซ้ำให้ประเทศเกิดใหม่ย่ำแย่ไปอีก
ท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้
นักลงทุนยังต้องใช้ความระวังในการลงทุนให้มากและมีสติเสมอครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น