เมื่อราคาสวนทางกับพื้นฐาน

No automatic alt text available.

สัปดาห์นี้ถือเป็นสัปดาห์ที่นักลงทุนหลายท่านคงจะยิ้มกันออกบ้าง หลังตลาดมีการปรับัตวขึ้นมาต่อเนื่องกว่า 150 จุดจนมาอยู่ในระดับ 1,750 จุดแม้จะมีประเด็นต่างประเทศมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้านแรงซื้อของกลุ่มสถาบันและต่างชาติไม่ได้ แต่หากมาดูในแง่ของพื้นฐาน เอาแค่ EPS หรือกำไรสุทธิต่อหุ้นของทั้งตลาดที่ลดลงมาเหลือ 107 จาก 110 เมื่อต้นปี ก็อาจจะยิ้มได้ไม่เต็มที่ซักเท่าไหร่

สาเหตุที่กระแสเงินทุนไหลเข้ามาในไทยมากขึ้นนั้น มาจากทั้งปัจจัยภายนอกที่เริ่มตอบรับกับประเด็น Trade War ไปมากแล้วแม้จะมีการตอบโต้กันไปมาระหว่างสหรัฐฯกับจีนไปเมื่อต้นสัปดาห์ แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่ตลาดคาดไว้ เมื่อรวมกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เติบโตไปในทิศทางที่ดีพร้อมเงินเฟ้อที่ต่ำ ทำให้กระแสเงินทุนเริ่มมองหาตลาดสินทรัพย์เสี่ยงที่น่าสนใจ เมื่อหันไปดูที่สหรัฐฯ หุ้นหลายๆตัวก็ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว หันไปดูยุโรปเรื่องการเมืองก็ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะ Brexit ที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่องรวมถึงประเด็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปก็ยังมีอยู่ จึงต้องหันมาที่ตลาดในประเทศเกิดใหม่ที่ปรับตัวลงไปมากจากวิกฤตค่าเงิน 

แต่การปรับตัวลงไปมากของตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ถือว่าน่าดึงดูดสำหรับกระแสเงินทุนเหล่านี้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวิกฤตค่าเงิน จึงจำเป็นต้องหาตลาดในประเทศที่มีเสถียรภาพรวมถึงมีทิศทางเศรษฐกิจที่เป็นบวก ซึ่งไทยเองก็ถือว่าเข้าข่าย ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอยู่ประเทศเดียวในบรรดากลุ่ม TIP (Thailand, Indonesia and Philippines) ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้มี เห็นได้จาก GDP ไตรมาส 2 ที่โต 4.8% สูงกว่าที่คาดกันไว้ และตัวเร่งที่ดึงดูดให้กระแสเงินทุนรีบไหลกลับเข้ามาก็คือ การนำ พ.ร.บ การเลือกตั้ง สส.และ สว.ในราชกิจจานุเบกษายิ่งทำให้ทิศทางการเมืองที่คลุมเคลือมาตลอดโดยเฉพาะประเด็นการเลือกตั้งเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี 

แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นครับ แม้เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง แต่ EPS ที่ลดลงไปตลอดทั้งปีก็สะท้อนให้เห็นว่า กำไรสุทธิโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ดีไปด้วย การปรับตัวขึ้นของตลาดมาจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น หมายความถึงการพักฐานในช่วงถัดไปของตลาดอาจเกิดขึ้นหากสภาพคล่องเหล่านี้หมดไป

อย่าลืมนะครับว่าความไม่แน่นอนยังมีอยู่ ยิ่งหากประเด็น Trade War ที่หากมีพัฒนาการไปในทางที่แย่ลง ทั้งมาตรการเพิ่มหรือหากลุกลามไปถึงการ Sanction หรือหากในช่วง 5 เดือนก่อนถึงเดือน ก.พ. ที่จะมีการเลือกตั้ง เกิดเหตุการณ์ลบขึ้นมา หากดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ทั้งหมดนี้จะทำให้กระแสเงินทุนที่เคยหนุนให้หุ้นขึ้นนั้นไหลออกได้เหมือนกัน

ทั้งหมดที่บอกมา ไม่ได้ต้องการจะให้นักลงทุนออกจากลาดมานั่งมองตลาดหุ้นเพิ่มเอาๆครับ เรา Enjoy กับสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นได้ แต่ควรมีสติและปกป้องพอร์ตของคุณให้ดี อาจนำเอาเครื่องมือทางเทคนิคมาช่วยหาจุด Lock กำไรหรือติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ก็จะทำให้คุณไม่เป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่า Party จบลงแล้ว (และต้องจ่ายรอบวงเพราะลุกช้า)


ที่มารูปภาพ



ความคิดเห็น