
หากพูดถึงนักลงทุนชื่อก้องโลก ชื่อของ Warren Buffet คงมาเป็นอันดับแรกๆ
แต่ถ้าในบรรดาผู้บริการกองทุน Hedge Fund ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
คงเป็นของ Ray Dalio ซึ่งชื่อของชายผู้นี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกเมื่อช่วงปลายปี
2017 Ray ได้ออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Principle และกลายเป็นหนังสือที่เหล่าคนดังหลายคนต่างกล่าวถึงและแนะนำให้อ่าน ในปี 2016
ชื่อของ Ray Dalio ติดอันดับ 1 ของผู้บริหารกองทุน Hedge Fund ที่สร้างผลตอบแทนมากที่สุดในโลก
และหากนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท Bridgewater ในปี 1975
ผลตอบแท่นรวมพุ่งไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
(ข้อมูลปี 2017) รวมถึงติด Top 100 ในอันดับที่
67 ของบุคคลที่รวยที่สุดในโลก
แต่ก็เหมือนกับผู้ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมดครับที่จะต้องเคยเจอเรื่องผิดพลาด Ray
ก็เช่นกัน
ในหนังสือ Principle ของ Ray Dalio นั้นในช่วงแรกได้มีการเล่าถึงประวัติของตนตั้งแต่วัยรุ่นเรื่อยมาจนถึงก่อตั้งบริษัทและมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งรวมถึงความผิดพลาดที่ตัวเขาเองได้เคยทำด้วยนั่นเอง
ซึ่งผมขออนุญาตตัดส่วนนั้นมาเล่าให้ฟังกันครับ
ในช่วงปี 1982 หลังก่อตั้ง Bridgewater ได้
7 ปี และเป็น 7 ปีที่ Ray ได้สะสมชื่อเสียงรวมถึงกำไรในการลงทุน
โดยใช้ข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์มหภาคมาช่วยวิเคราะห์และลงทุน ซึ่งในช่วงนั้น Ray
เองก็ถือว่าประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง
โดยในช่วงนั้นเศรษฐกิจโลกได้เผชิญกับภาวะวิกฤตอีกครั้ง
โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเม็กซิโกที่ผิดนัดชำระหนี้แก่สหรัฐฯและลามไปจนเกือบทั่วละตินอเมริกา
ซึ่งในเวลานั้น
เจ้าหนี้หลักของเหล่าประเทศละตินอเมริกาได้แก่ธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯหลายๆแห่งได้ปล่อยกู้มากถึงประมาณ
250% หรือ 2.5 เท่าของเงินทุนที่ทางธนาคารเองมี
นั่นหมายความว่าธนาคารเองได้มีการกู้เงินจากแหล่งหนึ่งมาปล่อยกู้ให้แก่ประเทศที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ด้วย
ซึ่งหากลูกหนี้เกือบทั้งหมดผิดนัดชำระหนี้
จะเป็นปัญหาหนี้เสียครั้งใหญ่และทำให้ระบบธนาคารสหรัฐฯเสียหายและอาจลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น
ผลที่ตามมาคือ ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ Ray มั่นใจว่าสหรัฐฯจะเผชิญและบอบช้ำอย่างมากกับวิกฤตดังกล่าว
โดยมีการออกบทวิเคราะห์แก่ลูกค้าว่า “มีโอกาส 75% ที่ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED จะล้มเหลว
มีโอกาส 20% ที่ FED จะประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงแรก
แต่สุดท้ายจะล้มเหลว และมีโอกาส 5% ที่
นโยบายจะประสบความสำเร็จ แต่มาพร้อมกับผลข้างเคียงอย่างภาวะเงินเฟ้อที่สูงมาก (Hyperinflation)”
เมื่อมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะประสบปัญหาอย่างหนัก Ray ได้ทำการ Long Gold Future รวมถึงT-bill Spread Future (เพราะทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัยและหากเกิดวิกฤต
จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้าน Credit หรือ Credit Risk ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของสหรัฐฯแพงขึ้น
สะท้อนมาในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและ Ray จะได้รับประโยชน์จากการที่จากสถานะ
Long ของทั้ง Gold Future และ T-Bill
ของสหรัฐฯ) ดูจากการวิเคราะห์ของ Ray แล้ว
คาดว่าเขาคงทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจากวิกฤตดังกล่าว
แต่กาลกลับไม่เป็นเช่นนั้นครับ
กลายเป็นว่าเศรษฐกิจกลับตอบสนองต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED ไปในทางบวก
ทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตพร้อมภาวะเงินเฟ้อที่ต่ำ
ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตลาดของสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากความกังวลด้านเครดิตและทำให้
Ray ขาดทุนย่อยยับกับการลงทุนในตลาดรอบนี้
โดยขาดทุนจนถึงขนาดไม่มีเงินจ่ายให้กับพนักงงานของ Bridgewater จนต้องยืมเงินของคุณพ่อมาทำธุรกิจอีกครั้ง
Ray ได้ให้เหตุผลของความผิดพลาดครั้งนี้ว่าหลังจากที่เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของประเทศในแถบละตินอเมริกา
ผลที่ตามมาคือการแข็งค่าอย่างมากของเงินดอลลาร์จนก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด เอื้อให้ FED
ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่จนไม่ต้องกังวลกับภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลข้างเคียง
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นก็ได้รับการปกป้องทั้งจากเงินกู้จาก FED รวมถึงการที่ IMF และ Creditors’ Committee เข้าเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่ประเทศเหล่านั้น
จนผลทำให้ความกังวลดังกล่าวลดลง
บทเรียนที่ได้รับจากความผิดพลาดครั้งนี้มี 3 ข้อด้วยกันครับ ข้อแรก Ray กล่าวว่าความมั่นใจมากเกินไป
(Overconfidence) จนทำให้อารมณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนรอบนี้
ข้อสอง อย่าละเลยเรื่องประวัติศาสตร์ หากRay ใส่ใจประเด็นนี้
เขาจะเห็นว่าในอดีตหากมีประเทศที่ประสบปัญหาด้านการผิดนัดขชำระหนี้
จะมีการช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้จากประเทศเจ้าหนี้พร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางเสมอและจะไม่ทำให้ตัวเขามั่นใจเกินไป
(จนทำให้เกิดข้อผิดพลาดและมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยว)
ข้อสาม เรื่องจังหวะเวลาเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ แม้การวิเคราะห์ของ
Ray จะถูกในระยะยาว
แต่ระหว่างทางจะมีเหตุการณ์ต่างๆเข้ามากระทบจนทำให้เหตุการณ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงจากการคาดการณ์ไปได้
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เป็นคำที่เป็นจริงเสมอครับ ไม่สำคัญว่าเราผิดพลาดกี่ครั้ง แต่สำคัญว่าเราเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนั้นๆและทำอย่างไรไม่ให้ผิดซ้ำซาก
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เป็นคำที่เป็นจริงเสมอครับ ไม่สำคัญว่าเราผิดพลาดกี่ครั้ง แต่สำคัญว่าเราเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนั้นๆและทำอย่างไรไม่ให้ผิดซ้ำซาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น