ธุรกิจค้าปลีก DVD, Blu-Ray: ไม่เปลี่ยน ก็ไม่รอด


          ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ Streaming การรับชมภาพยนตร์โปรด ทำได้ทุกที่ การเดินเข้าร้านขาย DVD เพื่อเลือกซื้อภาพยนตร์ก็อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป และแน่นอนว่า ธุรกิจร้านค้าปลีก DVD ก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ โดยเฉพาะร้านเล็กๆ ส่วนร้านค้า DVD แบรนด์ใหญ่ๆ ก็ดิ้นรนกันเต็มที่ เพื่อไม่ให้ถูกกลืนไปกับความก้าวหน้าของทางเทคนโนโลยี ในบทความนี้มาลองสำรวจกันครับว่า เหล่าผู้รอดชีวิตมีวิธีเอาตัวรอดกันอย่างไร
สำรวจอุตสาหกรรม
          อุตสาหกรรมของธุรกิจค้าปลีก DVD, Blu-Ray นั้น รายได้หลักก็มาจากการขาย DVD, Blu-Ray หน้าร้าน จากลูกค้าที่เข้ามาซื้อหรือเรียกว่า End User และลูกค้ากลุ่มผุ้จัดจำหน่ายหรือตัวแทนจัดจำหน่าย ส่วนค่าใช้จ่ายหลักก็คือค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าลิชสิทธิ์จากตัวผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายแบบค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายสินค้านั้นๆเพื่อนำมาวางขายในร้านของตน หากวิเคราะห์อุตสาหกรรมด้วยวิธี Five Force Model จะได้มุมมองดังนี้
การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม
ผู้เล่นหลักในธุรกิจค้าปลีก DVD ที่คุ้นๆหน้าก็คือ ร้านแมงป่อง ร้าน Boomerang ร้าน DNA และ ร้าน CAP ซึ่งช่วงที่ผ่านมา แต่ละร้านต่างพากันจัดโปรโมชันลดราคาสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายกันมากขึ้น แสดงถึงการแข่งขันภายในอุตสาหกรรมนี้ถือว่ามีการแข่งขันกันสูง
การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่
ธุรกิจค้าปลีก DVD ใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง นอกเหนือจากหน้าร้านแล้ว การลงทุนในด้านช่องทางจำหน่าย การซื้อลิขสิทธิ์จากผู้จัดจำหน่ายค้าส่ง หากเป็นร้านเล็กๆ อาจใช้เงินลงทุนไม่มากนัก แต่หากทำเป็น Chain Store จำนวนเงินลงทุนก็จะสูงตาม หากพิจารณาระดับ Barrier to Entry จะอยู่ในระดับกลาง
สินค้าทดแทน
ระดับการคุกคามของสินค้าทดแทนในธุรกิจค้าปลีก มีค่อนข้างสูง ทั้งจากสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การดูหนังผ่านอินเตอร์เน็ต ผู้ให้บริการช่องทีวีแบบเก่าที่อาจมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังมาฉาย รวมถึงผู้ให้บริการ TV Streaming ที่มีระดับคุณภาพเสียงและภาพใกล้เคียงจากพัฒนาการของเทคโนโลยี  
อำนาจต่อรองของลูกค้า
DVD เป็นสินค้าที่เหมือนกันทุกประการไม่ว่าจะวางแผงในร้านค้าปลีก Brand ไหน บวกกับช่องทางการจัดจำหน่ายที่สามารถสั่งซื้อออนไลน์และเปรียบเทียบราคาขายในแต่ละร้านได้ รวมถึงต้นทุนการสับเปลี่ยนหรือ Switching Cost ที่น้อยมาก ทำให้อำนาจต่อรองของลูกค้าก็อยู่ในระดับที่สูง
อำนาจต่อรองของ Supplier
Supplier ของร้านค้าปลีก DVD คือ ผู้ผลิตหรือเจ้าของลิขสิทธิ์หนัง ผู้จัดจำหน่ายแบบค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายสินค้านั้นๆ และร้านค้าปลีกทุกร้านจะต้องมาซื้อกับเหล่า Supplier เหล่านี้ ยิ่งหากตัวหนังได้รับความนิยม อำนาจต่อรองของเจ้าของลิขสิทธิ์จะสูงขึ้น
เมื่อพิจารณาแล้ว  ทั้งจากการแข่งขันที่อยู่ในระดับที่สูง การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ที่ไม่ยากมาก (หากไม่มีการขยายสาขา) สินค้าทดแทนที่มีมาก อำนาจต้องรองของลูกค้าและ Supplier  การเติบโตของอุตสาหกรรมอาจเป็นลักษณะถดถอย
กลยุทธ์เอาตัวรอด
          คราวนี้มาลองสำรวจกลยุทธ์การเอาตัวรอดของเหล่าร้านค้าปลีก DVD เหล่านี้กันครับ จากภาพรวมอุตสาหกรรมที่ดูจะสาละวันเตี้ยลง เหล่าผู้ค้าปลีกก็ต้องงัดทุกช่องทางเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงถดถอย โดยจากการสำรวจ กลยุทธ์หลักๆในการเอาตัวรอดคือ
การลงทุนผลิตสินค้าที่เป็นลิขสิทธิ์ของตน โดยร้าน Boomerang จะใช้วิธีนี้ เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับสินค้าในร้านและสามารถนำไปขายให้แก่ร้านค้าปลีกอื่นๆสร้างรายได้ได้อีกช่องทางหนึ่ง
การผลิตสินค้าสำหรับนักสะสมเพื่อเจาะกลุ่มแฟนคลับหรือนักดูหนังที่ชอบสะสมผ่านหนังต่างๆ ซึ่งการผลิตสินค้า Premium เหล่านี้มีการต้นทุนผลิตที่ค่อนข้างสูง เหล่าร้านค้านี้ก็ใช้วิธี Pre-Order เพื่อให้สามารถควบคุมต้นทุนได้ในระดับหนึ่ง
การเพิ่มช่องทางจำหน่าย นอกเหนือจากการจำหน่ายหน้าร้านแล้ว ยังมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายทาง Online พร้อมบริการจัดส่งที่รวดเร็วเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
 การจัดจำหน่ายหนังนอกกระแส ซึ่งผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้ก็คือร้าน Lido DVD ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังรางวัล หนังเก่าที่หายาก เป็นต้น
ผลการดำเนินงาน
          ผลการดำเนินงานของร้าน Boomerang เป็นดังนี้
          ปี 2557 รายได้ 248.63 ล้านบาท กำไรสุทธิ 256,894 บาท
          ปี 2558 รายได้ 289.68 ล้านบาท กำไรสุทธิ 222,295 บาท
          ปี 2559 รายได้ 353.26 ล้านบาท กำไรสุทธิ 157,879 บาท
         
ผลการดำเนินงานของร้านแมงป่อง (เฉพาะส่วนร้านค้าปลีก DVD)
ปี 2557 รายได้ 357.67 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5.46 ล้านบาท (โดยประมาณ)
          ปี 2558 รายได้ 213.33 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 33.47 ล้านบาท(โดยประมาณ)
          ปี 2559 รายได้ 85.93 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 24.21 ล้านบาท(โดยประมาณ)
          ผลการดำเนินงานของร้าน CAP
          ปี 2557 รายได้ 71.58 ล้านบาท กำไรสุทธิ 882,598 บาท
          ปี 2558 รายได้ 83.18 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,052,710 บาท
          ปี 2559 รายได้ 85.60 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,194,444 บาท
เมื่อดูผลการดำเนินงานของทั้งสามร้านข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ในการเอาตัวรอดยังถือว่าใช้ได้ผล แม้จะต้องแลกมากับต้นทุนที่สูงจนกดดันกำไรให้เหลือเพียงน้อยนิด ด้วยภาพรวมอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง การดำเนินธุรกิจเดิมๆคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แม้การเปลี่ยนแปลงจะแลกมากับผลกำไรที่ลดลงแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วต้องออกจากตลาดไป

Source

ความคิดเห็น