
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้โลกของการลงทุนเปิดกว้างมากขึ้น
โอกาสในการลงทุนเปิดกว้างจากเดิมที่จำกัดเพียงเฉพาะชนชั้นสูง
การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายแสนง่าย
สมัยก่อนกว่าจะได้งบการเงินหรือรายงานประจำปีซักบริษัทหนึ่ง ต้องเสียต้นทุนมาก
ไหนจะทำเรื่องวุ่นวาย หรือจะหาข่าวเกี่ยวกับบริษัทที่ตนสนใจ
ก็ต้องกางหนังสือพิมพ์มันทุกฉบับ กวาดตาดูมันทุกๆหน้า ไม่เหมือนสมัยนี้ ใช้ Internet เข้าเว็บตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทที่เราต้องการแล้ว
Download รายงานประจำปีหรืองบการเงินของบริษัทที่เราสนใจได้อย่างสะดวก
ส่วนการติดตามข่าวสาร แค่มี Smartphone หรือ Notebook
เครื่องเดียวก็รู้เกือบจะทั้งโลกแล้ว
ดังนั้นข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลในยุคนี้เรียกได้ว่าลดลงจนแทบไม่มี แต่ก็แลกมาด้วยภาวะที่เรียกว่า
Overload Information
ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
Overload Information หรือภาษาไทยเรียกว่า
ภาวะข้อมูลท่วมท้น
เป็นภาวะที่ผู้คนบริโภคข้อมูลข่าวสารมากเกินไปจนไม่สามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พูดง่ายๆก็คือ รับข้อมูลมากไปจนเบลอ
ซึ่งภาวะข้อมูลท่วมท้นนี้บางครั้งมีอันตรายกว่าการไม่รู้ข้อมูลเสียด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อเรารับข้อมูลมามาก ผลก็คือ หากเราไม่มี “ตาข่าย” ในการกรองข้อมูลที่ดี
เราอาจนำข้อมูลที่ผิดหรือเป็นเท็จไปใช้ประกอบการตัดสินใจจนเป็นเหตุให้เกิดผลเสียตามมา
หรือไม่สามารถประเมินสถานการณ์ที่ชัดเจนได้ ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เรียกได้ว่า
ไม่รู้ยังดีซะกว่า เพราะอาจเสียแค่โอกาสในการได้รับผลประโยชน์ แต่อาจไม่เกิดความเสียหายจากการใช้ข้อมูลที่ผิด
เลือกซักนิด เพื่อไม่ให้ติดกับดัก
ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน สมัยนี้ต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูลค่อนข้างถูก
และมีช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย
จึงไม่แปลกที่วันๆหนึ่งเราจะรับข้อมูลข่าวสารที่มากโข
บางทีข่าวเก่ายังอ่านไม่ทันจบ ข่าวใหม่ก็มาเสียแล้ว หากรับมาหมดโดยไม่มี “ตาข่าย”
มาช่วยกรอง ก็ทำให้เบลอจนไม่รู้จะทำอะไรและเสียโอกาสในการซื้อขายหุ้นไป
หรือที่หนักกว่านั้นก็คือดันไปใช้ข้อมูลผิดๆในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นในตลาด
สุดท้ายก็ขาดทุน คำถามต่อมาก็คือ เราควรทำอย่างไร?
เราต้องมี “ตาข่าย” ไว้กรองข้อมูลเหล่านั้นครับ “ตาข่าย”
ที่ว่าก็คือความรู้ในการลงทุนนั่นเอง
ความรู้เหล่านั้นจะช่วยคัดกรองและตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผลต่อข้อมูลนั้นๆ
นอกจากนี้ ยังต้องดูถึงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ
หากแหล่งที่มาขาดความน่าเชื่อถือหรือขาดการยืนยัน
ก็เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนักที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ
นอกจากนี้ ความรู้ยังช่วยให้เรากำหนดขอบข่ายและทิศทางในการหาข้อมูล
ไม่ให้เกิดการหาข้อมูลที่สะเปะสะปะอีกด้วยหรือทำให้เรารู้ถึงสิ่งที่จะต้องหาต่อเพื่อมายืนยันถึงความถูกต้องของข้อมูล
ยกตัวอย่างเช่น เราได้รับข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมาว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น
หากเรามีความรู้ทางเศรษฐกิจมาบ้าง อาจจะหาต่อไปว่า ดีขึ้นจากอะไร สมมติเรารู้ว่าดีขึ้นจากการบริโภคของประชาชนที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
ก็หาข้อมูลต่อว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะได้ประโยชน์ และต่อยอดไปถึงหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งหากไม่รู้อะไรเลย
ก็จะไม่สามารถทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้ เสียโอกาสการลงทุนหรือลงทุนผิดอีกต่างหาก
หรือได้รับข้อมูลมาจากแหล่งหนึ่งว่าหุ้น A น่าสนใจ อีกแหล่งหนึ่งบอกว่า หุ้น B น่าสนใจกว่า หากเรามีความรู้ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
เราอาจเปรียบเทียบอุตสาหกรรมของหุ้นสองตัวนั้นว่าอุตสาหกรรมไหนจะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจในขณะนี้ได้มากกว่ากัน(ในกรณีที่ทั้งสองอยู่คนละกลุ่มอุตสาหกรรม)
รวมถึงการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานว่ากำไรแต่ละตัวเป็นอย่างไร
เติบโตต่อเนื่องหรือไม่ มีหนี้มากหรือเปล่า มีเงินสดเพียงพอไหม? รวมทั้งเปรียบเทียบกลยุทธ์และแนวทางการขยายกิจการของหุ้นทั้งสองเพื่อดูว่า
แท้จริงแล้ว หุ้นตัวไหนที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ฟัง Analyst แล้วต้องคิดต่อยอด
แต่เรามีนักวิเคราะห์หรือผู้แนะนำการลงทุนอยู่แล้วนะ
ไม่ต้องมีความรู้ก็ได้นี่นา? ก็ถูกครับ
มีนักวิเคราะห์อยุ่แล้ว แต่ความรู้จะช่วยให้เรากรองข้อมูลและใช้ข้อมูลจากนักวิเคราะห์หรือผู้แนะนำการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น หากคุณอ่านบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่ง แล้วนักวิเคราะห์คาดว่า
ราคาเป้าหมายมากกว่าราคาปัจจุบันอยู่ถึง 50% สิ่งที่เราต้องทำต่อก็คือ
อ่านเนื้อหาอื่นๆในบทวิเคราะห์เพื่อดูถึงกรอบแนวคิดหรือปัจจัยใดที่จะดันราคาไปถึงราคาเป้าหมายได้
และต้องวิเคราะห์ต่อว่า ปัจจัยนั้นๆสมเหตุสมผลหรือไม่ หากไม่มีความรู้ในการลงทุน
คงยากที่จะทำเช่นนั้นได้
มีความรู้แล้ว ก็ไม่ต้องฟังนักวิเคราะห์น่ะสิ? อันนี้ก็อาจสุดโต่งไปนิดนะครับ ควรเปลี่ยนเป็นว่า
ไม่ต้องเชื่อนักวิเคราะห์ไปหมด จะดีกว่า
การฟังนักวิเคราะห์นั้นหากเรามีความรู้ติดตัว
จะช่วยให้เราตั้งคำถามต่อมุมมองของนักวิเคราะห์ได้อย่างตรงประเด็นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
และทำให้เราได้รู้ด้วยว่า ในช่วงนั้น หุ้นตัวไหนกำลังเป็นที่นิยมครับ
สรุปคือ มีข้อมูลน่ะดีครับ
แต่หากจัดการกับข้อมูลที่ไหลเข้ามาหาเราอย่างมหาศาลไม่เป็น สุดท้าย
ข้อมูลมากมายอาจกลายเป็นหายนะต่อการลงทุนได้ครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น