ทำไมต้องสนใจภาวะเศรษฐกิจ?


No automatic alt text available.

เมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจหลายคนก็คงนึกถึงตัวเลขยุบยับและกราฟต่างๆมากมายที่ชวนให้ปวดหัวจนสุดท้ายก็พาลเลิกสนใจไป ยิ่งเป็นการกล่าวถึงเศรษฐกิจระดับมหภาคด้วย ยิ่งทำให้มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว คงไม่มีผลอะไรกับคนตัวเล็กๆอย่างเรา แต่ผมอยากจะบอกทุกท่านว่า ไอ้เรื่องที่มองว่าไกลตัวนี่แหละครับ เกี่ยวข้องกับเราๆทั้งนั้นและเราต้องสนใจเศรษฐกิจครับ

ก่อนจะไปบอกเหตุผล ผมขออนุญาตปูเรื่องราวเศรษฐกิจในอดีตให้ได้เห็นภาพกันซักนิดครับว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้างแล้วและลองสังเกตจุดที่เหมือนกันของเรื่องต่างๆเหล่านี้ดูนะครับ

เริ่มกันที่ปี 2540 ที่ประเทศไทยประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจหรือที่เรียกกันว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยสาเหตุและความรุนแรงนั้นขอไม่กล่าวถึงครับ แต่สิ่งที่เกิดก่อนและหลังวิกฤตต่างหากที่น่าสนใจ

ช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 800 จุดไปสู่จุดสูงสุดที่ 1611 หรือกว่า 100% ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดหุ้นร่ำรวยกันถ้วนหน้า และประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียหรือหมายถึงประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (4 เสือก่อนหน้าคือ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน)

หลังเกิดวิกฤต ทุนสำรองระหว่างประเทศหมดลงจนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่ง IMF ก็ยื่นมือช่วยพร้อมเงื่อนไขในการใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพื่อลดหนี้ของประเทศ ผลที่ตามมาเมื่อรวมกับผลของวิกฤตก็คือภาวะข้าวยากมากแพง รวมถึงคนตกงานจากการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหา หลายธุรกิจพากันปิดตัว หลายครอบครัวต้องมาเปิดท้ายขายของหาเงินหมุน

ผ่านมา 10 ปี อีกโลกเราเผชิญกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯที่เริ่มมาจากวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในตลาดบ้านลุกลามมาเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ราคาบ้านปรับตัวลงอย่างหนัก อัตราการว่างงานพุ่งสูงถึงจาก 4.70% มาอยู่ที่ 7.20% ยิ่งราคาบ้านที่ประชาชนหลายคนเป็นเจ้าของตกต่ำอย่างมากจากราคาที่กู้ซื้อ ก็ส่งผลให้ความมั่งคั่งลดลง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องให้ประชาชนต้องขุ่นข้อง หลัง AIG บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ที่ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักจากตราสาร CDO (Credit Default Swap) โดยไตรมาส 4 ที่ขาดทุนไปถึง 61,700 ล้านดอลลาร์ จนทำให้ต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์ แต่กลับนำเงินช่วยเหลือบางส่วนไปจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานทั้งที่บริษัทขาดทุน

โดยเฉพาะฝ่ายที่คิดค้นตราสาร CDO จนทำให้ AIG ต้องขาดทุนนั้นได้รับโบนัสไปกว่า 165 ล้านดอลลาร์ เบ็ดเสร็จแล้วจ่ายโบนัสไปกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์

ถ้ากำไรแล้วจ่าย คนคงไม่ว่าอะไรครับ แต่นี่ขาดทุนจนต้องขอรับเงินช่วยเหลือ ยังมีแก่ใจมาจ่ายโบนัสอีก และใช่ครับ เงินช่วยเหลือ AIG ก็มาจากภาษีประชาชนนั่นเอง

ถัดมาหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากระดับ 56.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นปี 2007 มาอยู่ที่ 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2008 หรือกว่า 150% ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ถ้ายังจำกันได้ ราคาน้ำมันค้าเบนซิน 95 ในไทยตอนนั้นพุ่งขึ้นแตะ 43 บาทต่อลิตร รวมถึงสินค้าจำเป็นหลายรายการก็ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า

ในช่วงนั้นราคาหุ้น PTT ปรับตัวจาก 200 บาทต่อหุ้นไปเป็น 440 บาท (ก่อนการแตกพาร์)

ผ่านไป 4-5 ปี เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะยุโรปนำโดยกรีซที่กู้เงินต่างประเทศมาดำเนินนโยบายต่างๆที่ช่วยเหลือประชาชนแต่ไม่มีการลงทุนเพิ่มผลิตภาพ จนผลสุดท้ายระดับหนี้สินก็เพิ่มจนไม่สามารถกู้เงินได้อีก เดือดร้อนกลุ่มทรอยก้า (TROIKA) นำโดย EU, ECB และ IMF เข้ามาช่วยเหลือแลกกับการที่กรีซต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัด

ผลที่ตามมาคือประชาชนที่เคยสบายจากนโยบายก่อนหน้าก็ต้องลำบากมากขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่อง

4 เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังไปนั้น พอเห็นความเหมือนมั้ยครับ

ความเหมือนของทั้ง 4 เรื่องก็คือ หลังเกิดวิกฤตทุกครั้ง ประชาชนทั่วประเทศจะต้องรับผลกระทบไปด้วยเสมอแม้เราจะไม่ได้เป้นต้นเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตนั้นๆและบางครั้งเราต้องเข้าไปช่วยเหลือบริษัทหรือองค์กรที่เป็น 1 ในต้นเหตุของวิกฤตนั้นอีกต่างหาก ทั้งการนำเงินภาษีไปช่วยเหลือ หรืออดได้รับสวัสดิการต่างที่ควรจะได้เพราะต้องลดรายจ่าย

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางกลุ่มได้ประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าวอีก ตัวอย่างก็ชัดเจนจากกำไรที่ได้จากหุ้น PTT ในช่วงน้ำมันแพง

นี่แหละครับคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องให้ความสนใจกับภาวะเศรษฐกิจ ยิ่งเดี๋ยวนี้เราเข้าสู่ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรามากขึ้น นั่นหมายความถึงข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและไร้พรมแดน อะไรที่เหมือนไกลตัวก็จะใกล้ตัวเรามากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ


เราอาจไม่ต้องลงทุนไปเรียนเศรษศาสตร์หรอกครับ ขอแค่ติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจบ้างจาก Application หรือ Social Media ที่น่าเชื่อถือใน Smartphone ของพวกเราก็เพียงพอแล้ว

การติดตามข่าวสารภาวะเศรษฐกิจก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้เราได้เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆและอาจหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย


ที่มารูปภาพ



ความคิดเห็น