
ปฏิเสธไม่ได้ครับ ว่าตลาดหุ้นคือแหล่งสร้างคว ามมั่งคั่งให้กับนักลงทุนมา แล้วหลายราย
แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้หล ายๆคนหมดตัวได้เช่นกันหากเร าเข้ามาลงทุนโดยไม่ดูสี่ดูแ ปดใดๆ
ดังนั้นการสำรวจอารมณ์และภา วะตลาดก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื ่องที่จำเป็นต่อการลงทุน
เบนจามิน
เกรแฮม (Benjamin
Graham) ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเคยเสนอทฤษฎีตลาด (Mr. Market)
ไว้อย่างน่าสนใจว่า นายตลาดเป็นผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวน
บางวันก็มาเสนอขายของให้คุณในราคาที่ถูกแสนถูก บางวันอารมณ์ไม่ดี
ก็ขายมันซะแพงหูฉี่
แต่ข้อดีของนายตลาดคนนี้ก็คือ
ต่อให้เราปฏิเสธที่จะไม่ซื้อในวันนี้ วันต่อมา เขาก็จะมาขายของให้คุณอยู่ดี
หมายความว่า โอกาสในการซื้อหุ้นยังคงเปิดกว้างเสมอ
ดังนั้นไม่ต้องไปซื้อมันทุกวันก็ได้
รอนายตลาดอารมณ์ดีๆก็ไม่เสียหาย
คนที่หมดตัวส่วนใหญ่ก็เพราะไปแหยมกับนายตลาดตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดีนั่นเอง
สาเหตุที่นายตลาดอารมณ์แปรปรวน เพราะตลาดคือแหล่งรวมนักลงทุนจากทั่วทุกสารทิศครับ
และนักลงทุนคือมนุษย์ที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดก็จะสะท้อนอารมณ์ของคนในตลาดด้วย
นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ
วิธีสำรวจว่าตลาดหุ้นน่าลงทุนหรือไม่ของแต่ละคนมีหลายวิธีครับ
ส่วนใหญ่ก็นั่งตามข่าวกันไป ฟังนักวิเคราะห์อธิบายตามสัมมนา
รายการต่างๆ
เช่นเดียวกับปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch) ก็มีวิธีของตนครับ
ปีเตอร์ ลินช์ คือผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อว่า
ฟิเดลลิตี้แมคเจลลัน (Fidelity Magellan) อันเลื่องชื่อ
ที่ว่ากันว่าหากลงทุนในกองทุนนี้ตั้งแต่เริ่มตั้งกองทุนในปี 2520 จนถึงปี 2533 ที่ปีเตอร์ ลินช์ เกษียณตัวเองได้
สิริรวม 13 ปี เงินต้นของคุณจะเติบโตถึง 28 เท่าเลยทีเดียว
วิธีการสำรวจอารมณ์และสภาวะตลาดของปีเตอร์
ลินช์นั้นถูกอธิบายไว้ในหนังสือสุดคลาสสิค One Up on Wall street (มีแปลเป็นไทยว่า เหนือกว่า Wall Street) โดยเขาตั้งชื่อมันว่า
Cocktail Theory
ด้วยความที่ปีเตอร์ ลินช์เข้าสังคมบ่อย
และการเข้างานสังคมเหล่านี้จำเป็นต้องแนะนำตัวเองพร้อมอาชีพที่ตนทำ
ซึ่งของลินช์ก็คือ ผู้จัดการกองทุน จุดนี้ทำให้ Cocktail Theory บังเกิดขึ้น
ปีเตอร์ ลินช์ให้ข้อสังเกตว่า หากเขาแนะนำตัวไปแล้ว
ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจมากนักหรือเบี่ยงประเด็นไปคุยเรื่องอื่น
นั่นหมายความว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน
เพราะส่วนใหญ่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังย่ำแย่
หรือดัชนีลดลงหนักๆ ทำให้ตลาดหุ้นไม่ดึงดูดความสนใจผู้คนซักเท่าไหร่
แสดงว่าตลาดอาจลงถึงจุดที่น่าสนใจจะเข้าซื้อแล้ว
หากแนะนำตัวไปแล้ว เริ่มมีคนสนใจขึ้นมาหน่อย
ถามนู่นถามนี่ว่าลงทุนยังไง นั่นแสดงถึงสัญญาณว่าตลาดหุ้นเริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง
แต่หากแนะนำตัวไปแล้ว เขากลายเป็นจุดสนใจของงานขึ้นมาทันที
มีคนเข้ามาขอหุ้นเด็ด หรือแสดงความเห็นต่อหุ้นที่ตนถือไว้
เขาให้ความเห็นว่านั่นเป็นเวลาอันดีที่จะขายทำกำไรหรือเตรียมตัวรับแรงกระแทก
เพราะสถานการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นว่า ทุกคนเข้ามาลงทุนมากขึ้น
เพราะเห็นว่าตลาดปรับตัวขึ้นพรวดพราดมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ เลยกลัวที่จะ
"ตกรถ" หรือเสียโอกาสได้กำไรมหาศาลไป
เหตุการณ์นี้มักเกิดในช่วงที่ตลาดกำลังบูมสุดขีดหรือร้อนแรงสุดขั้วนั่นเอง
เราอาจนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ครับ
สมัยนี้ไม่ต้องถึงขนาดไปหาชุดสูทผูกหูกระต่ายแล้วดั้นด้นไปที่งานเลี้ยงต่างๆครับ
แค่มือถือเครื่องเดียว ก็สำรวจได้แล้วผ่าน Social Media
หากคนเริ่มพูดถึงหุ้นและการทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
ก็แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นอยู่ในช่วงที่บูมสุดขีดและต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
Cocktail Theory เป็นเพียง 1 ในวิธีที่ใช้สำรวจสภาวะตลาดครับ
ใช้เพียงแค่การสำรวจมุมมองและอารมณ์ของตลาด
และควรสำรวจข้อมูลในแง่มุมอื่นๆทั้งข้อมูลผลประกอบการ
ภาวะเศรษฐกิจรวมถึงปัจจัยทางเทคนิค ควบคู่กันไป จะช่วยให้เรามองตลาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น