
เมื่อวานนี้ (11 ต.ค. 2561)
ได้มีหนังเกี่ยวกับตัวร้ายช ื่อดังของการ์ตูนค่าย มาร์เวล (Marvel)
อย่าง วีน่อม (Venom) เข้าฉายเป็นวันแรกครับ
ผมในฐานะคอหนัง Superhero และติดตามข่าวคราวมาตลอดก็ค งไม่พลาดหนังเรื่องนี้แน่นอ น
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตาม ก็คงมีคำถามว่า Spider-Man จะเข้ามาแจมในเรื่องนี้หรือ ไม่
เพราะ Venomนั้นถือเป็นคู่ปรับสำค ัญของ Spider-Man
ซึ่งต้องบอกว่าทั้งเรื่องทั้งหมดนี้มีที่มาที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวครับระหว่าง
Marvel,
Sony, Venom และ Spider-Man
ย้อนกลับไปช่วงก่อนปี 2000 มาร์เวลเป็นเพียงค่ายหนังสือการ์ตูนของสหรัฐฯที่มีรายได้จากการขายหนังสือการ์ตูนรวมถึงของเล่นต่างๆ
ซึ่ง Superhero ในเครือมาร์เวลที่หลายๆคนรู้จักก็คือ
กัปตันอเมริกา (Captain America) กลุ่ม X-Men, สี่พลังกายสิทธิ์ (Fantastic Four) รวมถึง
มนุษย์แมงมุม Spider-Man
ช่วงนั้นมาร์เวลก็ประสบปัญหาทางการเงิน
จึงจำเป็นต้องหารายได้เพิ่ม และหนึ่งในวิธีที่ทางมาร์เวลทำก็คือการขายลิขสิทธิ์ของเหล่า
Superhero ไปให้แก่สตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์เพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์
โดยลิขสิทธิ์ของเหล่า Superhero ชื่อดังก็ตกเป็นของสตูดิโอต่างๆ
ที่เด่นๆก็คือ X-Men และ Fantastic Four ไปอยู่กับ Twentieth Century Fox และใช่แล้วครับ Spider-Man
ก็ตกไปอยู่กับทาง Sony
เมื่อสตูดิโอหนังต่างๆได้ลิขสิทธิ์ตัวละคร Superhero ไปก็จัดแจงนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ให้เราได้ชมกัน โดยทาง Sony เองได้สร้างภาพยนตร์ Spider-Man ออกมาสู่สายตาแฟนการ์ตูนครั้งแรกในปี
2002 ในชื่อ Spider-Man ที่กำกับโดย
แซม ไรมี่ (Sam Raimi) โดยผู้รับบท ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Peter
Parker) เด็กหนุ่มที่ได้รับพลังพิเศษและกลายเป็น Spider-Man ก็คือ โทบี้ แมไกวร์ (Toby Maguire) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจนออกภาคต่อในชื่อ
Spider-Man2 และ Spider-Man 3 ในปี 2004
และ 2007 ตามลำดับ รวม 3 ภาคด้วยทุนสร้าง 597 ล้านดอลลาร์ หนังทั้ง 3 ภาคทำเงินได้ถึง 2,496.34 ล้านดอลลาร์ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
ไม่รอช้า ทาง Sony ก็ประกาศสร้าง Spider-Man4
ต่อเพื่อโกยกระแสความนิยม
แต่แล้วก็เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้กำกับแซม ไรมี่และทางค่าย Sony จนทำให้แผนการสร้างตั้องถูกพับไป และเราก็ไม่ได้เห็น Spider-Man ออกมาเป็นภาพยนตร์อีกเลย
ผ่านไป 5 ปี มาในปี 2012 ทาง Sony จัดการ Reboot ภาพยนตร์
Spider-Man อีกครั้งในชื่อ The Amazing Spider-Man โดยมี มาร์ค เว็บ (Marc Webb) นั่งแท่นผู้กำกับ
และได้ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) รับบท Spider-Man
ในฉบับใหม่ ซึ่งทาง Sony ก็หวังว่าจะจุดกระแส Spider-Man
ได้อีกครั้งและรักษาสิทธิ์ตัวละคร Spider-Man ให้อยู่กับทางค่ายต่อไป
(เพราะจากที่ค้นข้อมูลดูนั้น บางแหล่งระบุรายละเอียดในสัญญาว่า หากทาง Sony
เว้นวรรคการสร้างภาพยนตร์ Spider-Man เกิน 3
ปี หรือ 5 ปี สิทธิ์ตัวละคร Spider-Man
จะกลับไปเป็นของ Marvel)
ผลตอบรับของ The Amazing Spider-Man ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 757.93 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 230
ดอลลาร์
Sony เองก็ไม่รอช้า เข็นหนังภาคต่ออย่าง The Amazing
Spider-Man 2 ลงโรงฉายต่อในปี 2014 แม้จะกวาดรายได้ไปกว่า
708.98 ล้านดอลลาร์ แต่ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบค่อนข้างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหนังทำรายได้ได้น้อยสุดในบรรดาหนัง Spider-Man 5 เรื่องที่สร้างโดย Sony (Spider-Man 1-3 และ The
Amazing Spider-Man 1 และ 2)
คราวนี้ทาง Sony เองก็อยู่ในภาวะมืดแปดด้าน
จะฝืน Reboot อีกครั้ง ผู้คนก็คงจะเบื่อแต่หากสร้างภาคต่อ
ก็ต้องเจอกับความเสี่ยงที่หนังจะไม่ทำเงิน เนื่องมาจากภาค 2 ที่ได้รับคำวิจารณ์ไม่ดีนัก เรียกได้ว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
หันกลับมาทาง Marvel ที่ช่วงกลางปี 2000
ได้ลงทุนเปิด Studio หนังของตนเองในชื่อ Marvel
Studio และเปิดตัวภาพยนตร์ Iron Man ในปี 2008
และมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆออกมาร้อยเรียงเรื่องราวให้เป็นเรื่องเดียวกันในชื่อ
Marvel Cinematic Universe (MCU) และแนวคิดการสร้างจักรวาลหนังของสตูดิโอประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามและถือเป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ชมค่อนข้างมาก
สาเหตุก็เพราะแม้จะมีภาพยนตร์ Superhero ออกมาให้เราได้ชมมากมายในช่วงก่อนปี 2008 แต่ทุกเรื่องก็เป็นเพียงหนังเดี่ยว
ไม่มีความเชื่อมโยงไปกับตัวละคร Superhero อื่นๆ ต่างจาก MCU
ที่แม้จะเป็นหนังคนละเรื่อง แต่ก็มีความเชื่อมโยงกัน
ตัวละคร Superhero ต่างๆสามารถมาเจอกันได้ อย่างหนัง Avengers
ทั้ง 3 ภาค เป็นต้น
แม้จะสร้าง MCU ให้โด่งดังได้
แต่สิ่งที่เควิน ไฟกี้ (Kevin Feige) ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของ MCU
ยังคงต้องการก็คือการหาโอกาสที่จะนำสิทธิ์การสร้างหนัง Superhero
ที่เคยได้ขายไปให้แก่สตูดิโออื่นๆกลับมา ยิ่งได้ Disney Studio
เข้ามาซื้อกิจการของ Marvel แล้ว
ทุกอย่างพร้อมยิ่งกว่าพร้อมทั้งจักรวาลของสตูดิโอที่ยิ่งใหญ่
กำลังเงินที่พร้อมสรรพ เราจึงได้เห็นดีลการเข้าซื้อกิจการ Twentieth
Century Fox ที่เป็นเจ้าของตัวละครกลุ่ม X-Men ของทาง Disney
ส่วนของทาง Sony นั้นตัวไฟกี้เองที่หาทางดึงตัวละคร
Spider-Man ให้กลับมาอยู่กับทาง MCU ก็ได้สบโอกาสเข้าเจรจากับ
เอมี่ ปาสคาล(Amy Pascal) หัวเรือใหญ่ของ Sony เพื่อหาทางนำ Spider-Man กลับสู่ MCU
รายละเอียดของการเจรจาระหว่าง Marvel Studio และ Sony ก็คือ ทาง Marvel ยังคงให้สิทธิ์ของ
Spider-Man อยู่กับทาง Sony และทาง Sony
ยังเป็นผู้มีสิทธิ์จัดจำหน่ายและได้รายได้ในหนังที่มี Spider-Man
เป็นตัวละครหลัก ที่เรารู้ตอนนี้ก็คือ Spider-Man:
Homecoming ซึ่งทาง Sony มีหน้าที่เพียงออกทุนให้และทาง
Marvel Studio จะเป็นผู้สร้างให้ทั้งหมดทั้งการคัดเลือกนักแสดงและผู้กำกับ
ส่วน Sony รอจัดจำหน่ายและรับเงินอย่างเดียว
ส่วนทางด้าน Marvel Studio ก็ได้รับสิทธิ์ในการนำตัวละคร
Spider-Man ไปใช้กับภาพยนตร์ของ MCU เรื่องอื่นๆได้
กล่าวโดยสรุปก็คือสิทธิ์ตัวละครยังอยู่ที่ Sony และ Sony ก็เพียงแค่ออกเงินให้แก่ Marvel
Studio ให้สร้างภาพยนตร์ที่มี Spider-Man และ Sony
ได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่ายและได้รับรายได้จากหนังเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วน Marvel Studio ก็สามารถนำ Spider-Man ไปแจมในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เราจึงได้เห็น Spider-Man
ไปแจมในเภาพยนตร์ของ MCU ทั้ง Captain
America :Civil War และ Avengers: Infinity Wars นั่นเอง (หากหนังเรื่องนั้นตัว Spider-Man ไม่ได้เป็นตัวละครหลัก
รายได้จะเป็นของ Marvel Studio เหมือนเดิมครับ)
ส่วนภาพยนตร์ Venom นั้น ทาง Sony
ที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ตัวละครตัวนี้นั้นถูกสร้างโดยทาง Sony เอง ทาง Marvel Studio ไม่ได้มีส่วนกับโปรเจ็กต์นี้
ซึ่งถ้าตามรูปการณ์ของธุรกิจแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Venom จะไม่ได้อยู่ใน
MCU และหมายความว่าเราจะไม่ได้เห็น Spider-Man ในเรื่องนี้นั่นเอง แม้ทาง เอมี่ ปาสคาลจะเคยสัมภาษณ์ว่า Venom จะอยู่จักวาลเดียวกับ Spider-Man แต่ไม่ได้อยู่ใน MCU
ก็ตาม (งงกันเลยทีเดียว)
หากลองพิจารณาดีลระหว่าง Sony กับ Marvel
Studio ในประเด็น Spider-Man นั้น
ถือเป็นตัวอย่างการเจรจาที่ดีเพราะทั้ง 2 ฝ่ายได้รับผลประโยชน์ทั้งคู่ครับ
(Win-Win Situation) Sony ยังรักษาตัวละคร Spider-Man
ไว้ได้ ทาง Marvel ก็สามารถนำตัวละครนี้มาแจมใน
MCU ให้แฟนๆได้ชื่นหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น หากตัวละคร Spider-Man
จุดกระแสติดอีกครั้ง รายได้จากการขายของเล่นก็เพิ่มขึ้นอีก
ทั้งสองฝ่าย Happy ในการทำธุรกิจร่วมกัน
เพราะหาก Marvel ที่ตอนนี้เป็นต่อใช้ไม้แข็งเพื่อให้ได้
Spider-Man กลับมาจาก Sony ที่กำลังประสบปัญหาอยู่
แม้จะดึงกลับมาได้
แต่ก็ต้องแลกกับการเสียพันธมิตรทางธุรกิจไปรวมถึงเสียกำลังเงินไปมากโขแน่นอน
บทเรียนที่ดีจากเคสนี้คือ การเจรจาที่ดีผลที่ได้ควรเป็น Win-Win
ไม่ใช่ Win-Lost ครับ.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น