
สัปดาห์ที่ผ่านมา (1-5 ต.ค. 2561) คงเป็นสัปดาห์ที่ไม่สดใสนัก
เพราะเล่นปรับตัวลง 1,765 มาอยู่ที่ 1,718 และขณะที่ปั่นบทความนี้อยู่ก็จะลงทดสอบ 1,700 เสียให้ได้
ซึ่งเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวจาก 1,680 มาใกล้ 1,750 ก็เคยได้ให้ข้อสังเกตไปแล้วว่า
สาเหตุหลักคือสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรไม่ใช่มาจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น
ลองเปรียบเทียบตัวเลขยอดซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดอย่างสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติกันดูครับ
โดยตลอดช่วงวันที่ 13-21 ก.ย. ช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวจาก 1,680 มาใกล้ 1,750
นั้น
นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 25,104.97 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5,209.29 ล้านบาท
หลังจากที่ขายสุทธิมาตลอด
ส่วนตลอดช่วงวันที่ 1-5 ต.ค.ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงจาก 1,765 มาอยู่บริเวณ
1,718
นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 8,580.18 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 11,053.26 ล้านบาท
เห็นได้ชัดเจนครับว่าตอนนี้ Fund Flow ที่เคยไหลเข้ามาหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงก่อนหน้าได้หมดไปแล้ว
ซึ่งเจ้า Fund Flow นี้ หากเราใช้เวลาทำความเข้าใจซักนิด
ก็จะช่วยให้เรามองภาพรวมของตลาดได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
Fund Flow หรือกระแสเงินนั้นก็เหมือนกระแสน้ำครับ
แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงทิศทางการไหล กระแสน้ำนั้นไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
แต่กระแสเงินไหลจากที่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปหาที่ที่ให้ผลตอบแทนสูง
ซึ่งปัจจัยที่กำหนด Fund Flow ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของผลตอบแทนนั่นเอง
ปัจจัยแรกก็คือภาวะเศรษฐกิจครับ ในโลกการเงินนั้นมี “เงิน” อยู่สองประเภทคือ Real
Money หรือเงินที่มีมูลค่าในตัวของมันเอง เช่น ทองคำ แร่เงิน
เป็นต้น และ Fiat Money หรือเงินที่ต้องมีผู้มาการันตีว่ามีมูลค่า
ซึ่งก็คือพันธบัตรที่เราใช้กันอยู่ครับ แต่ละประเทศก็จะมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง
ซึ่งเงินประเภทไหนจะได้รับนิยมมากกว่าก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
หากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
จะทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและหันไปหา Real Money อย่างทองคำ เป็นต้น แต่หากเศรษฐกิจดี Fund Flow ก็จะไหลเข้า
Fiat Money ส่วนจะไหลไปหาสกุลเงินไหน
ก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
ซึ่งในตอนนี้
เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2008 ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาสนใจเงินดอลลาร์อีกครั้ง
ทำให้ทิศทาง Fund Flow ไหลจากประเทศเกิดใหม่ไปอยู่ที่ดอลลาร์
ส่งผลให้ค่าเงินในประเทศเกิดใหม่รวมถึงตลาดหุ้นในประเทศนั้นๆต่างปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ประเด็น Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐฯเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กระแสเงินทุนส่วนใหญ่ยิ่งไหลไปหาเงินดอลลาร์จากการที่สหรัฐฯอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวนั่นเอง
ปัจจัยถัดไปที่ต้องติดตามคืออัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์อื่นๆ
ซึ่งในโลกการลงทุนนี้มีสินทรัพย์ลงทุนมากมายนอกเหนือจากหุ้นสามัญครับ
หลักๆเลยก็คือพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้
ซึ่งหากผลตอบแทนของสินทรัพย์ใดปรับตัวสูงขึ้นมากพอ
หรือประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยที่สูง จะดึงดูดให้ Fund Flow
ไหลเข้าไปลงทุน
(แต่ดอกเบี้ยประเทศใดสูงเกินไปจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่นกัน
แต่ตอนนี้จะยังไม่พูดประเด็นนี้ครับ)
ผลตอบแทนที่มักจะนำมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนตลาดหุ้นก็คือผลตอลแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ
10 ปี ครับ ซึ่งหากหยิบตัวเลขมาเปรียบเทียบกัน
จะเป็นดังนี้ครับ
ตลอดช่วงวันที่ 13-21 ก.ย.
ช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวจาก 1,680 มาใกล้ 1,750 นั้น
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีอยู่ที่ระดับ 2.83-2.84%
ผลตอบแทนพันธบัตรรับฐาลของสหรัฐฯอายุ 10 ปี
อยู่ที่ 2.98-3.01%
ส่วนตลอดช่วงวันที่ 1-5 ต.ค.ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงจาก 1,765 มาอยู่บริเวณ
1,718
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นจาก
2.82% มาอยู่ที่บริเวณ 2.87%
ผลตอบแทนพันธบัตรรับฐาลของสหรัฐฯอายุ 10 ปี
เพิ่มขึ้นจาก 3.00% มาอยู่ที่บริเวณ 3.17%
จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนของพันธบัตรมีการปรับตัวขึ้น และเมื่อดูเปรียบเทียบระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
จะพบความผิดปกติอยู่ก็คือ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทยน้อยกว่าของสหรัฐฯ ทั้งๆที่อันดับความน่าเชื่อถือของไทยต่ำกว่า
(ผลตอบแทนพันธบัตรเปรียบเหมือนต้นทุนการกู้ยืมครับ
ประเทศที่เครดิตดีกว่าควรจะมีต้ยทุนการกู้ยืมที่ต่ำกว่า) แสดงให้เห็นว่า
ในอนาคตทิศทางดอกเบี้ยของไทยควรจะเป็นขาขึ้นเหมือนสหรัฐฯ
ซึ่งจะเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น
ส่วนอีกปัจจัยก็คือเหตุการณ์พิเศษต่างๆที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นและค่าเงินในประเทศนั้นๆครับ
แล้วมันจะฟื้นได้ยังไง?
คำถามก็คือจะพอมีทางไหนบ้างที่ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ในภาวะที่ตลาดหุ้นเราไม่ดึงดูด
Fund Flow คำตอบก็คือต้องมีสิ่งดึงดูดใจใหม่ๆหรือประเด็นบวกใหม่ๆครับ
หรือถ้าจะให้ดี ในช่วงการประกาศผลประกอบการตรมาส 4 นี้
บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ต้องมีผลประกอบการที่ฟื้นตัวขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า
พื้นฐานของบริษัทเริ่มกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ก็จะดึงดูด Fund Flow ให้มาสนใจได้บ้าง
การวิเคราะห์ Fund Flow อาจไม่ได้เห็นผลกันใน
1-2 วันครับ แต่เหมาะที่จะใช้เป็นการดูทิศทางโดยรวมของตลาด
ทำให้สามารถนำมาวางแผนการลงทุนได้ง่ายขึ้นครับ
ที่มารูปภาพhttp://www.thaismartsme.com/set-%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9A-13-%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94-%
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น